RSS

รองเท้า JORDAN


JORDAN SHOSE












Air Jordan I

ปีที่วางจำหน่าย 1988

ราคา $65

ออกแบบโดย Peter Moore

สียอดฮิต Black/Red(Bred), Black/Royal(Royal Blue), Black Toe, Chicago



ตำนานของ Air Jordan เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Nike ได้เซ็นสัญญาสปอนเซอร์กับนักบาสเกตบอลหน้าใหม่ของ NBA ในตอนนั้นอย่าง Michael Jordan และออกแบบ Air Jordan I สีดำ/แดงขึ้นมาให้เขาใส่ลงแข่งในปี 1984 ซึ่งเป็นโทนสีที่เข้ากับสียูนิฟอร์มของ Chicago Bulls พอดี แต่ MJ เองไม่ค่อยชอบนักเพราะมันเป็นสีที่ “ดูเหมือนรองเท้าปีศาจ” ทั้งนี้ คณะกรรมการ NBA ยังสั่งแบนรองเท้าสีนี้เนื่องจากเป็นโทนสีที่ขัดต่อกฎการแต่งกายที่ต้องเป็นสีที่เข้ากับชุดและเข้ากับเพื่อนร่วมทีม(มีข้อมูลบางส่วนอ้างว่ารองเท้ารุ่นที่ NBA เห็นและสั่งแบนจริงๆ คือ Nike Air Ship สีเดียวกัน) และปรับ MJ เป็นเงิน 5,000 ดอลลาร์ทุกครั้งที่ใส่มันลงสนาม ซึ่ง Nike ก็ยินดีจ่ายและใช้โอกาสนี้ในการโปรโมทรองเท้ารุ่นดังกล่าวไปในตัว โดยมีนัยยะว่าผู้ที่ได้สวมใส่มันคือผู้ที่ไม่ยอมรับการแบนของ NBA อยู่กลายๆ (ต่อมาภายหลังมีการออกรุ่นพิเศษ Banned Air Jordan I ออกมาเพื่อเป็นที่ระลึกและประชดโดยเฉพาะอีกด้วย)เมื่อ Air Jordan I วางจำหน่ายในปีต่อมาจึงประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างงดงามหลังจากนั้น Nike จึงออกแบบสี “Black Toe” และ “Chicago” ที่มีสีขาวมาร่วมผสมเข้าไปกับสีแดงและสีดำให้ MJ ใส่ลงสนามช่วงปี 1985-1986 ฟอร์มการเล่นของ MJ อันยอดเยี่ยมตอนที่ใส่รองเท้ารุ่นนี้ก็ยิ่งทำให้มันเป็นที่ต้องการมากขึ้น ทั้งตอนลงแข่งดังค์ครั้งแรกใน Slam Dunk Contestปี 1985 และทำผลงานการดังค์ได้อย่างงดงาม(แถมยังใส่ทอง 2 เส้น อีกด้วย)แม้ว่าจะพลาดแชมป์รายการนี้ไปก็ตาม ในปีเดียวกัน MJ ได้รางวัล Rookie of The Year และตอนทำ 63 แต้มในการแข่ง playoff กับ Boston Celtics ที่ทำให้ Larry Bird ถึงกับขนานนาม MJ ว่าเป็น “พระเจ้าที่สวมใส่รองเท้าบาสฯ” เลยทีเดียว











Air Jordan II

ปีที่วางจำหน่าย 1986

ราคา $100

ออกแบบโดย Bruce Kilgore และ Peter Moore

สียอดฮิต White/Black-Red, Carmelo Anthony PE

หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่นแรก โดยทีมออกแบบตัดสินใจยอมเสี่ยงไม่ใส่ Swoosh ลงไปในดีไซน์ของ Air Jordan II ด้วย นอกจากนี้มันยังเป็น Air Jordan รุ่นเดียวที่ผลิตในอิตาลี ด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรองเท้าบูทผู้หญิง ทำให้มันดูหรูหรามากขึ้นและเหมาะสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นรองเท้ารุ่นที่ MJ ใส่ตอนคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest สมัยแรกในปี 1987 แต่เป็นรุ่นที่ MJ แทบไม่ได้ใส่แข่งเนื่องจากต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ รุ่นนี้จึงไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร








Air Jordan III

ปีที่วางจำหน่าย 1988

ราคา $100

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/Cement, Black/Cement, Fire Red, True Blue

หลังจากที่ Peter Moore และ Rob Strausser ผู้ผลักดันแบรนด์ Air Jordan ออกจาก Nike ไป MJ ก็เกือบจะตามไปด้วย

หลังจากหมดสัญญา แต่การออกแบบของ Tinker Hatfield ก็ทำให้ MJ เปลี่ยนใจและต่อสัญญากับ Nike ด้วยดีไซน์รองเท้าที่มีโลโก้ Jumpman แทนโลโก้ Air Jordanเดิมที่ใช้ในรุ่น Air Jordan I และ II ประดับด้วยลวดลายหนังช้าง และมองเห็น Air Unit อย่างชัดเจน เมื่อบวกกับฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงหลังจากหายบาดเจ็บกลับมาของ MJ ทำให้ในฤดูกาล 1987-1988 เขาได้รับรางวัล NBA MVP (NBA Most Valuable Player Award หรือ “รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า” ที่มอบให้กับผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มการเล่นดีที่สุดประจำฤดูกาล) และลีลาการดังค์จากเส้นจุดโทษอันน่าตื่นตาก่อนจะคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest สมัยที่สอง รวมทั้งโฆษณาที่กำกับโดย Spike Lee กระแสรองเท้ารุ่นนี้จึงแรงแบบฉุดไม่อยู่และถือว่าเป็น Air Jordan รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะสี Black/Cement
















Air Jordan IV

ปีที่วางจำหน่าย 1989

ราคา $100

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/Cement, Black/Cement, Military Blue, Fire Red, Lightning, Thunder, UNDFTD

Tinker Hatfield รับหน้าที่ออกแบบอีกครั้ง คราวนี้ใช้ดีไซน์ที่คงความเรียบไว้แต่แข็งแรง ดุดัน จนได้ชื่อว่าเป็น Air

Jordan ที่แข็งแรงทนทานที่สุด และยังเป็นรองเท้าคู่ที่ MJใส่ตอนที่สร้างตำนาน “The Shot” ด้วยการทำแต้มสุดท้ายเฉือนชนะ Cleveland Cavaliers 101-100 ในการแข่ง playoff ทั้งที่เหลือเวลาเพียง 2 วินาทีอีกด้วย









Air Jordan V

ปีที่วางจำหน่าย 1990

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/Fire Red-Black, White/Black-Fire Red, Black/Metallic Silver, Grape, Laney, Raging Bull Pack ดีไซเนอร์คนเก่ง Tinker Hatfield ออกแบบรองเท้ารุ่นนี้ด้วยแนวคิดที่ต้องการอะไรที่ต่างไปจากเดิม เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ P-51 Mustang ของอเมริกาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาออกแบบในส่วนของฟันตรง midsole ซึ่ง Tinker บอกว่ามันตรงกับสไตล์การเล่นของ MJที่สามารถโจมตีคู่แข่งได้ในเวลาสำคัญอยู่เสมอ ส่วนที่โดดเด่นอีกอย่างของรุ่นนี้คือลิ้น (tongue) ที่ทำด้วยวัสดุสะท้อนแสงของ 3M และพื้น outsole ทำด้วยยางใสที่ไม่เห็นกันบ่อยนัก ส่วนฟอร์มการเล่นของ MJ ตอนที่ใส่ Air Jordan Vก็ยอดเยี่ยมเช่นเคยด้วยการทำสถิติสูงสุด 69 แต้ม ในเกมที่เอาชนะ Cleveland Cavaliers ไปได้อย่างน่าทึ่ง









Air Jordan VI

ปีที่วางจำหน่าย 1990

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/Infrared, Black/Infrared, Carmine, Olympic, Defining Moments

รองเท้ารุ่นนี้ นอกจากจะเป็นการรวมเอาสไตล์การออกแบบ Air Jordan รุ่นที่ผ่านมาของ Tinker Hatfield แล้ว ส่วนของ heel tab นั้นยังได้ไอเดียมาจากดีไซน์รถ Porsche ของ MJเอง และมีรู 2 รูตรง tongue ที่ช่วยให้สวมใส่ง่ายขึ้นและดูโดดเด่นมากจนเป็นแนวทางที่นิยมใช้กันในรองเท้ารุ่นอื่นๆ ที่ออกมาภายหลังอีกมากมายหลังจบการแข่งขัน NBA Finals นัดที่ 2 กับ LA Lakers แม้ MJ จะได้รับบาดเจ็บที่นิ้วเท้า แต่เมื่อสต๊าฟถามว่าจะให้เปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้มากกว่านี้ไหม MJ กลับตอบว่า “Give me the pain.” และใส่ Air Jordan VI ต่อไป











Air Jordan VII

ปีที่วางจำหน่าย 1991

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต Hare, Bordeaux, Black/True Red, Cardinal, Olympic

นับเป็นอีกรุ่นที่ออกแบบได้แตกต่างจากที่แล้วมาโดยไม่มีทั้ง Air Unit และ outsole ใสอีกต่อไป เพราะ Tinker Hatfieldได้ศึกษาศิลปะของชนเผ่าในแอฟริกาตะวันตกรวมถึงดนตรี pop ร่วมสมัยของชาวแอฟริกัน เมื่อรวมกับเทคโนโลยี Huarache ที่ออกแบบโดย Tinker และใช้ใน Nike Air Huarache แล้ว Air Jordan VII จึงมีความเฉพาะตัวและใส่สบายมากนอกจากนี้ MJ ยังใส่รองเท้าคู่นี้ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1992 ที่บาร์เซโลนาร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอเมริกาชุด DreamTeam ก่อนจะคว้าเหรียญทองกลับบ้านอีกด้วย













Air Jordan VIII

ปีที่วางจำหน่าย 1993

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/Black-True Red, Aqua, Black/True Red



ความโดดเด่นของ Air Jordan รุ่นนี้คือ มีสายรัดข้อเท้า velcro เพื่อการ support ข้อเท้าและมีพื้น outsole อันยึดเกาะได้ดีเยี่ยม ด้วยหลักการออกแบบที่พัฒนาต่อจาก Air Jordan VII แต่เน้นการปกป้องเท้าแทนที่จะเน้นความเบาสบาย และยังเป็นคู่ที่ MJ ใส่ในการลงแข่งจนได้ NBA Finals MVP เป็นสมัยที่สามติดต่อกันด้วยแต้มเฉลี่ยในรอบ Finals ที่ 44 แต้มต่อเกมอีกด้วย











Air Jordan IX

ปีที่วางจำหน่าย 1993

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/Black-True Red, Powder Blue, Charcoal, Cool Grey, Motorboat Jones

ไลน์รองเท้า Air Jordan เกือบจะยุติลงเมื่อ MJ ตัดสินใจเลิกเล่นบาสฯ และหันไปลงแข่งเบสบอลแทน แต่ Tinker Hatfield ยังคงดึงดันที่จะทำ Air Jordan ต่อไป และเชื่อมั่นว่า MJ จะกลับมา เขาจึงดีไซน์รองเท้ารุ่นนี้ต่อและได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าเบสบอลที่ MJ สวมใส่ตอนลงสนาม จุดเด่นของรุ่นนี้คือ outsole ที่พิมพ์ลายตัวอักษรจากหลายภาษาเอาไว้รองเท้ารุ่นนี้จึงนับว่าเป็นรุ่นแรกที่ MJ ไม่ได้ใส่ลงแข่ง NBAอย่างไรก็ตาม เขาเคยนำรุ่น Air Jordan IX Retro Cool Grey มาใส่ในชุดยูนิฟอร์มของทีม Wizards เมื่อช่วง pre-season ปี 2002 ก่อนที่รุ่น retro นี้จะวางจำหน่ายพอดี









Air Jordan X

ปีที่วางจำหน่าย 1994

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต Chicago, UNC, Steel Grey, Shadow Black




Air Jordan X ได้รับการออกแบบในช่วงที่ MJ ยังเล่นเบสบอลอยู่ จึงไม่มีการขอความเห็นจากเขาเหมือนเช่นทุกที เมื่อ Tinker Hatfield นำดีไซน์ของรองเท้ารุ่นนี้ไปให้ MJ ดูเป็นครั้งแรก เขาจึงไม่ชอบมัน และสั่งให้แก้ทันที ก่อนที่ Tinker จะนำไปปรับเปลี่ยนจนสมบูรณ์ ความพิเศษของ Air Jordan X คือการร้อยเชือกแบบรองเท้า ghillies (รองเท้าเต้นคล้ายรองเท้าบัลเลต์) และการพิมพ์เกียรติประวัติที่ MJได้รับตั้งแต่สมัย rookie จนถึงปี 1994 ลงบน outsole (ซึ่งส่งผลให้การยึดเกาะแย่ลงมาก) และเมื่อ MJ ตัดสินใจกลับสู่ NBA อีกครั้งพร้อมประโยคสุดคลาสสิค “I’m back.” และใส่มันลงสนาม ตำนานบทใหม่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง






Air Jordan XI

ปีที่วางจำหน่าย 1995

ราคา $125

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต Concord, Playoff, Columbia, Space Jam, Cool Grey, Bred

ดีไซน์ของมันในส่วนของแผ่นหนังที่ครอบและปกป้องส่วนล่างของรองเท้าไว้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องตัดหญ้า และด้วยลุคที่ดูเรียบและหรูหราของมันนั้นสามารถใส่ไปงานพิธีการได้สบายๆ (วง Boyz II Men ก็เคยทำมาแล้วในงาน Grammy Awards 1996) MJ ชอบรองเท้ารุ่นนี้มากจนถึงขนาดใส่คู่นี้ลงแข่งตั้งแต่ตอนเป็นแค่ sample ซ้ำยังเอาไปอวดในรายการทีวีและใส่เล่นภาพยนตร์เรื่อง Space Jamด้วย เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ได้รับการกล่าวถึงในสื่อต่างๆ มากที่สุดในยุคนั้นและเป็น Air Jordan รุ่นยอดนิยมรุ่นหนึ่ง












Air Jordan XII

ปีที่วางจำหน่าย 1996

ราคา $135

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต Taxi, Obsidian, White/Varsity Red, Playoffs, Black/Varsity Red (Flu Game)

รองเท้ารุ่นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น Air Jordan รุ่นที่ทนทานที่สุด ทั้งยังมี Zoom Air แบบ full-lenght อีกด้วย ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรองเท้าบูทผู้หญิงและลายธงชาติ Rising Sun ของญี่ปุ่น ก็สวยงาม โดยสี Black/Red มีความพิเศษตรงที่เป็นสีที่ MJ ใส่ในเหตุการณ์ “Flu Game” ซึ่งเป็นแม็ตช์สำคัญที่ต้องลงแข่งรอบ Finals กับ Utah Jazz ในปี 1997 ทั้งที่ยังไม่ทันหายจากไข้หวัดดี แต่ก็ยังโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจและพาทีมชนะในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นในปี 2009 มีการออก reproduct และมีการพิมพ์ตัวเลข 97 ซึ่งเป็นปีที่แข่ง และ 38 ซึ่งเป็นแต้มที่ MJ ทำได้ พร้อมรูปการ์ตูนล้อเลียนใบหน้าเหยเกจากอาการป่วยของ MJ นอกจากนี้เพื่อนร่วมทีมของ MJ หลายๆ คน เช่น Scottie Pippen, Bill Wennington, และ Luc Longley ก็ชอบรองเท้ารุ่นนี้มาก และใส่มันลงแข่งในฤดูกาล 1996-1997 ด้วย












Air Jordan XIII

ปีที่วางจำหน่าย 1997

ราคา $150

ออกแบบโดย Tinker Hatfield

สียอดฮิต White/True Red-Black, Playoff, Flint, White/Black-True Red, Black/True Red, Ray Allen PE

รองเท้ารุ่นนี้วางจำหน่ายภายใต้ชื่อ Jordan Brand เป็นครั้งแรก ดีไซน์ของมันได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและคล่องแคล่วดุจดั่งเสือดำของ MJและนำเสนอด้วยรูปทรงที่ดูปราดเปรียว พร้อม hologram ที่ดูเหมือนตาเสือและพื้น outsole รูปร่างอุ้งตีนเสือ ทั้งยังมีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมด้วยน้ำหนักเบาและตอบสนองการเคลื่อนไหวได้ดี และฟอร์มการเล่นของ MJ ก็ร้อนแรงเช่นเคยด้วยการพา Chicago Bulls คว้าแชมป์ NBA สามสมัยซ้อน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น